วิธีการลดน้ำหนักที่สอดคล้องกับหลักการทางการแพทย์โดยหลักการแล้วก็คือ "ห้ามทานยาลดน้ำหนัก ห้ามอดอาหาร ทานผักเยอะๆ ทานคาร์โบไอเดรตน้อยๆ ทานไขมันน้อยๆ ออกำลังกายไปด้วยยิ่งดี ตามที่แพทย์ส่วนใหญ่เข้าใจ เพียงแต่ว่าจำเป็นจะต้องมีรายละเอียดอย่างครบถ้วนดังนี้
1.ต้องทานอาหารให้ครบ 3มื้อในทุกๆวัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้เพราะการทานอาหาร3มื้อ จะทำให้ร่างกายเราสามารถรักษาระดับการเผาผลาญพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ไม่เกิดสภาวะคล้ายการจำศีล ส่วนการทานอาหารให้มากกว่า 3มมื้อ ก็เป็นการสร้างนิสัยการทานจุกจิกและทำให้เราหิวบ่อยเกินไป จึงไม่ควรทำ
2.ทานอาหารให้ได้พลังงานประมาณ 1,000-1,200 กิโลแคลลอรี่(น้ำหนักจะลดลงเดือนละ 3-4 กิโลกรัม) อาจจะยืดหยุ่นได้ แต่ห้ามต่ำกว่า 800 กิโลแคลลอรี่เด็ดขาด เพราะร่างกายเราจะทำงานน้อยลง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงงาน ซึ่งนอกจากจะทำให้การลดน้ำหนักเป็นเรื่องยากแล้ว ยังทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นง่ายด้วย ซึ่งทำให้เกิดโยโย่ได้เมื่อเรากลับมาทานอาหารปกติ เราจึงควรทานให้ได้พลังงานประมาณ 1,000-1,200 กิโลแคลลอรี่ เพื่อไม่ให้ระดับการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเราลดต่ำลง
3.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะหากเราขาดอาหารหมู่ใดหมู่หนึ่ง เราจะรู้สึกหิวได้ง่าย ทำให้เราลดน้ำหนักได้ยากขึ้น และยังทำให้ร่างกายทำงานบกพร่องได้ ซึ่งจะทำให้เรามีปัญหาสุขภาพได้
4.ทานโปรตีนให้เพียงพอ โดยทานโปรตีน 1.0 กรัม/น้ำหนักเรา 1 กิโลกรัม เพื่อให้น้ำหนักที่ลดลงเป็นไขมันไม่ใช่กล้ามเนืื่้อ ซึ่งจะช่วยรักษาระดับการเผาผลาญให้คงที่ หรือช่วยปรับระดับการเผาผลาญที่เสียไปให้ดีขึ้น ทำให้เมื่อเราหยุดลดน้ำหนัก น้ำหนักของเราจะไม่เพิ่มขึ้น (ไม่เกิดโยโย่)
5.สัดส่วนพลังาน จากโปรตีน/คาร์โบไฮเดรต/ไขมัน ที่ได้จากอาหารที่ทานควรเป้น 30/50/20 (ยืดหยุ่นได้)
6.โดยในทางปฏิบัติ (ข้อ4-5) ให้เราหลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารที่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร โดยทานอาหารให้มีโปรตีนประมาณครึ่งหนึ่งในมื้อนั้น ซึ่งในโปรตีนจะมีไขมันอยู่แล้วเราก็จะได้สัดส่วนใกล้เคียงที่ต้องการ
7.ทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสีสันสลับกันไป โดยทานผักผลไม้อย่างน้อยมื้อละ 1 ถ้วย เพื่อให้ร่างกายยังได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน จะได้ไม่หิวง่ายและไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ดดยให้พลังงานจากอาหารที่ทานทั้งวันกับผักผลไม้ที่ทานรวมกันได้ประมาณ 1,000-1,200 กิโลแคลลอรี่
8.ดื่มน้ำประมาณ 2 ลิตร ขึ้นไป เพื่อให้การเผาผลาญไขมันส่วนเกิน รวมถึงทำให้การขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกายมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้เราสามารถลดน้ำนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีผิวพรรณสดใส โดยให้สังเกตจากอาการปากแห้งคอแห้งและปัสสาวะหลือง เป็นเครื่องวัดว่าดื่มน้ำพอหรือยัง
9.ออกกำลังกายแบบแอโรบิกควบคู่กับแบบแอนาโรบิก โดยออกกำลังกายให้หนักในระดับที่หัวใจเต้น 60-80% ของอัตราการเต้นสูงสุดในแต่ละวัย ต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จำนวน3-6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาระดับการเผลาผลาญที่ดีขึ้น ซึ่งการที่ระดับการเผลาผลาญของเราอยู่ในระดับที่ดี จะช่วยให้เมื่อเราหยุดลดน้ำหนักแล้วกลับมาทานอาหารปกติ น้ำหนักจะไม่เพิ่มขึ้น(ไม่โยโย่)
อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายเป็นเพียงตัวช่วยในการลดน้ำหนักให้เราสามารถลดน้ำหนักได้สำหรับบางคนเท่านั้น จริงๆแล้วสิ่งที่ส่งผลต่อเรื่องการลน้ำหนักมากท่สุดก็คือการควบคุมอาหารคนส่วนใหญ่จึงสามารถลดน้ำหนักลงได้โดยควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องออกกำลังกาย
10.นอนวันละ 8 ชั่วโมง เพราะหากเรานอนน้อยเกินไปร่างกายเราจะทำงานผิดเพี้ยนแล้วทำอ้วนขึ้นได้ ส่วนการนอนมากเกินไปก็ทำให้ร่างกายเผาผลาญต่ำลงได้
11.ควบคุมน้ำหนักต่อไปอีกอย่างน้อย3เดือน หลังจากได้น้ำหนักที่ต้องการแล้ว เพื่อให้ร่างกายสามารถจดจำน้ำหนักที่ลดได้ จะได้ไม่มีการปรับตัวให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น โดยพยายามทานให้ได้พลังงานเพิ่มขึ้นทีละนิด เช่น ควบคุมเดือนแรกทานให้ได้พลังงาน 1,300 กิโลแคลลอรี่ ควบคุมเดือนที่สองทานให้ได้พลังงานประมาณ 1,500 กิดลแคลลอรี่ ควบคุมเดือนที่สามให้ได้พลังงานประมาณ1,800 กิโลแคลลอรี่
ด้วยหลัการเหล่านี้ หากใครก็ตามที่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด ก็จัสามารถลดน้ำหนักลงได้ โดยที่ไม่ทำให้เกิดโยโย่ขึ้นอย่างแน่นอน
นี่คือกล่อง "เขียนข้อความ" กล่องที่จะให้คุณเพิ่มข้อความ รูปภาพและวิดีโอได้อย่างอิสระตามสไตล์ของคุณเอง เช่น แบนเนอร์ โปรโมชั่น บทความ แนะนำร้านค้า หรือ รายการสินค้าเด่น เป็นต้น โดยคุณสามารถแก้ไขหรือลบกล่องนี้ได้หากคุณต้องการ ซึ่งมีวิธีการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีการแก้ไขข้อความในกล่อง