วิตามินที่ละลายในไขมัน
วิตามินเอ (เรตินอล) และแคโรทีนอยด์
วิตามิน A เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของดวงตาเยื่อเมือก ระบบภูมิคุ้มกัน และผิวหนัง วิตามินนี้สามารถช่วยสนับสนุนสารที่มีสีซึ่งไวต่อแสงในดวงตา และมีความจำเป็นต่อการมองเห็นในเวลากลางคืน
แหล่งของวิตามินเอ ในอาหารที่ดีที่สุดมาจาก ตับ ไต เนย นม และน้ำมันปลา ปริมาณวิตามินเอที่ควรได้รับต่อวันตามปริมาณ RDA อยู่ที่ 5,000 IU ถ้าจำเป็นต้องใช้วิตามินเอเป็นอาหารเสริม ผู้ที่ต้องระวัง คือ สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรบริโภควิตามินเอเกินกว่า 2,500 IU และผู้ชายไม่ควรบริโภคเกิน 5,000 IU
เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์รวม
แคโรทีน เป็นเม็ดสีที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ สารอาหารชนิดนี้ละลายในไขมันและมีความเข้มข้นของสีมาก พวกมันสามารถสร้างสีให้กับผักและผลไม้ได้อย่างมากมาย ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสารอาหารเหล่านี้ก็คือพวกมันมีความปลอดภัยมากต่อการบริโภคเป็นอาหารเสริมและพวกมันจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้หากร่างกายต้องการ ดังนั้นสารอาหารชนิดนี้จึงไม่เป็นพิษและหากบริโภคเข้าไปแล้วคุณจะสามารถเพิ่มการป้องกันด้วยสารต้านอนุมูลอิสระได้
มีแคโรทีนอยด์มากกว่า 600 ชนิดซึ่งพบในอาหาร เบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ได้รับการศึกษาในวงกว้างที่สุดรวมไปถึงแคโรทีนอยด์ สารอาหารเหล่านี้พบมากในผักใบเขียวรวมไปถึงผักผลไม้ที่มีสีส้ม
โดยปกติแคโรทีนอยด์จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินเอ อาหารเสริมที่สามารถให้แคโรทีนอยด์รวมจะให้ผลลัพธ์ต่อการปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระได้ดีกว่าการใช้เบต้าแคโรทีนแต่เพียงอย่างเดียว ไลโคปีน ลูติน ถือเป็นแคโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ประโยชน์จากการใช้แคโรทีนอยด์เป็นอาหารเสริม
1.เบต้าแคโรทีนช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
2.สารอาหารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยในการรวมตัวเองเข้ากับเยื่อบุเซลล์เหมือนกับวิตามินอี
3.เบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหลายชนิด ( มะเร็งปอด, มะเร็งมดลูก,มะเร็งผิวหนัง,มะเร็งในช่องปาก และมะเร็งลำไส้)
4.เบต้าแคโรทีนในปริมาณสูงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้เกือบ 40%
5.เบต้าแคโรทีนในระดับสูงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
6.ลูตินและซีแอ็กอันธินเป็นแคโรทีนอยด์ที่สะสมอยู่บริเวณเรตินาของดวงตา เม็ดสีจะทำหน้าที่ปกป้องเรตินาและจอประสาทตาจากกระบวนการ oxidative stress ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
7.เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์อีกหลายประเภทจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอหากร่างกายต้องการ ดังนั้นพวกมันจึงปลอดภัยต่อการบริโภคซึ่งสามารถเติมเต็มความต้องการวิตามินเอของร่างกายได้
8.แคโรทีนอยด์รวมสามารถเพิ่มการต่อต้านไม่ให้เกิดปฏิกิริยา oxidation กับคอเลสเตอรอล LDL
วิตามินดี (Cholecalciferol)
ร่างกายของเราสามารถสร้างวิตามินดีได้จากแสงแดดที่สัมผัสกับผิวหนัง วิตามินดีมีความจำเป็นต่อกระดูก เพราะมันสามารถกระตุ้นการดูดซึมของแคลเซียม อย่างไรก็ดี จากการศึกษาได้แสดงให้เห็นจากข้อมูลที่ว่า ประชากรของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เกือบ 90% ขาดวิตามินดี วิตามินชนิดนี้มีอยู่ 3 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็กระตุ้นการเผาผลาญแคลเซียมในระดับที่แตกต่างกัน วิตามินดี 3 จะถูกเปลี่ยนที่ตับและที่ไต จนได้เป็นผลลัพธ์ของวิตามินดีที่มีศักยภาพสูงสุด
แหล่งธรรมชาติของวิตามินดีที่ดีคือ น้ำมันตับปลา ปลา เนย และไข่แดง เมื่อร่างกายมีอายุมากขึ้นและไม่สัมผัสกับแสงแดดเท่าที่ควรก็จะทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินดีได้ง่าย ปริมาณของวิตามินดีที่ควรได้รับต่อวันตามปริมาณ RDA อยู่ที่ 200 IU แต่จริง ๆ แล้วคุณควรเสริมอาหารด้วยวิตามินดี 3 ที่ระดับ 1,000-1,200 IU ต่อวัน
ประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพหากได้รับวิตามินดีในระดับที่เพียงพอดังต่อไปนี้
1.ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 1 ในเด็กลดลง 78% เมื่อบริโภควิตามินดี 2,000 IU ในปีแรกของชีวิต
2.เด็กที่ขาดวิตามินดีจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานประเภท 1 200%
3.หากบริโภควิตามินดี 800 IU ควบคู่ไปกับแคลเซียมจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 33%
4.ผู้ป่วยที่ขาดวิตามินดีมีโอกาสจะเป็นมะเร็ง 30-50%
5.ผู้หญิงที่บริโภควิตามินดี 400 IU ต่อวันจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปลอกประสาทอักเสบลดลง 42%
6.การมีวิตามินดีระดับสูงในร่างกายจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปลอกประสาทอักเสบลดลง
วิตามินอี
วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุดที่พบมากในร่างกาย ด้วยความที่วิตามินชนิดนี้ละลายในไขมัน ดังนั้น มันจึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุดภายในเยื่อหุ้มเซลล์ ด้วยลักษณะที่โดดเด่นนี้จึงทำให้วิตามินอีให้การปกป้องอันตรายที่เกิดจากคอเลสเตอรอล LDL วิตามินจะเข้ารวมกับเยื่อหุ้มเซลล์ของคอเลสเตอรอล LDL เหมือนกับแคโรทีนอยด์ ไม่ว่า LDL จะเคลื่อนที่ไปที่ใดวิตามินอีก็จะติดตามไป ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญของระบบป้องกันอนุมูลอิสระ
ปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวันอยู่ที่ 30 IU แหล่งอาหารที่พบวิตามินอีมากได้แก่ เมล็ดพืชต่าง ๆ ถั่วเปลือกแข็ง ธัญพืช และน้ำมันพืช หากต้องการเพิ่มการปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระให้มากที่สุดเราควรเสริมอาหารด้วยวิตามินอี 400-800 IU
ประโยชน์จากการบริโภควิตามินอีเป็นอาหารเสริม
1.วิตามินอีช่วยปกป้องโรคหัวใจและโรคลมปัจจุบันเพราะมันสามารถเพิ่มการต่อต้านคอเลสเตอรอล LDL
2.วิตามินอีช่วยลดภาวะการต่อต้านอินซูลินและสามารถพัฒนาการควบคุมโรคเบาหวานได้
3.หากร่างกายมีระดับวิตามินอีต่ำ พบว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งทางเดินอาหาร
4.วิตามินอีช่วยป้องกันการรวมตัวของลิ่มเลือด เมื่อบริโภควิตามินอีและแอสไพรินด้วยกันผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวายได้มากยิ่งขึ้น
5.วิตามินอีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงวัย
6.วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีความสำคัญมากที่สุดอีกชนิดหนึ่งซึ่งช่วยในการต่อสู้กับโรคที่เกิดจากความเสื่อมต่าง ๆ
วิตามินเค
วิตามินเค เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันมีความจำเป็นในการสร้างกระบวนการการแข็งตัวของเลือด แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของวิตามินเค คือ ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม บร็อคโคลี ผักกาดหอม กะหล่ำปลี และผักโขม ปริมาณของวิตามินเคที่ควรได้รับต่อวันขึ้นอยู่กับน้ำหนักของร่างกายของแต่ละคน แต่ควรอยู่ในช่วง 50-80 ไมโครกรัมต่อวัน หากจะบริโภควิตามินเคเป็นอาหารเสริมควรได้รับในระดับ 50-100 ไมโครกรัมต่อวัน การเสริมอาหารด้วยวิตามินเคสามารถลดภาวะต่อต้านอินซูลินในผู้ชายสูงวัยได้
นี่คือกล่อง "เขียนข้อความ" กล่องที่จะให้คุณเพิ่มข้อความ รูปภาพและวิดีโอได้อย่างอิสระตามสไตล์ของคุณเอง เช่น แบนเนอร์ โปรโมชั่น บทความ แนะนำร้านค้า หรือ รายการสินค้าเด่น เป็นต้น โดยคุณสามารถแก้ไขหรือลบกล่องนี้ได้หากคุณต้องการ ซึ่งมีวิธีการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
วิธีการแก้ไขข้อความในกล่อง